โรคปากนกกระจอกเป็นโรคที่พบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัย และมักจะเกิดขึ้นกับเด็กในวัยเรียน หญิงตั้งครรภ์หรือหญิงให้นมบุตร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่เสี่ยงต่อการขาดสารอาหารทั้งนั้น
โดยโรคปากนกระจอกนั้นไม่ส่งผลอันตรายร้ายแรงใดๆต่อร่างกาย เพียงแต่ก่อให้เกิดแผลบริเวณปากและสร้างความรู้สึกเจ็บปวด รบกวนจิตใจ ดังนั้นเรามาทำความรู้จักกันเลยดีกว่าว่า โรคปากนกกระจอกคืออะไร และโรคปากนกกระจอกเกิดจากอะไร รวมถึงโรคปากนกกระจอกมีวิธีแก้อย่างไรบ้าง…
โรคปากนกกระจอกคืออะไร
โรคปากนกกระจอก (Angular stomatitis) หรือโรคแผลที่มุมปาก (Angular cheilitis) คือ อาการแผลที่เกิดขึ้นบริเวณมุมปาก ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะกับกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงในการขาดสสารอาหาร เมื่อเป็นแล้วจะสร้างความรำคาญ รบกวนจิตใจเป็นอย่างมาก ทั้งยังส่งผลให้ความมั่นใจลดลงอีกด้วย
ปากนกกระจอกกับการขาดวิตามิน
โรคปากนกกระจอกเป็นอีกหนึ่งสัญญาณเตือนที่สำคัญของสุขภาพว่า ร่างกายกำลังขาดสารอาหารสำคัญนั่นเอง โดยเฉพาะวิตามินบี 2 (riboflavin) ซึ่งเป็นวิตามินที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยจะทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของการหายใจของเซลล์ ซึ่งอาหารที่เป็นแหล่งของวิตามินบี 2 นั้นมีมากมาย เช่น ข้าวกล้องหอม อ่อนหวาน เป็นต้น
โดยสาเหตุต่างๆ เหล่านี้จะส่งผลให้เกิดแผลที่บริเวณมุมปาก รวมถึงเกิดอาการแสบ คัน และเจ็บเวลาที่อ้าปากอีกด้วย อีกทั้งในบางรายอาจจะมีเลือดออก รวมทั้งมีอาการอักเสบที่บริเวณผิวเยื่อบุริมฝีปากร่วมด้วย ทำให้ปากมีลักษณะบาง และแตกเป็นร่องๆ สร้างความรู้สึกแสบร้อน เจ็บปวดที่บริเวณริมฝีปากเป็นอย่างมาก
วิธีรักษาปากนกกระจอก
โดยปกติแล้วอาการของโรคปากนกกระจอกจะสามารถหายเองได้ภายใน 7 – 10 วัน อีกทั้งยังมีวิธีการรักษา และช่วยบรรเทาอาการได้หลากหลายวิธีด้วยกัน โดยส่วนใหญ่นั้นมักจะรักษาด้วยการทานวิตามินบี 2 หรืออาจจะเลือกข้าวกล้องหอม อ่อนหวาน เพราะข้าวกล้องหอมอ่อนหวาน มีวิตามินบี 2 และธาตุเหล็กสังกะสี ที่มากกว่าข้าวกล้องทั่วไปถึง 3 เท่า จึงช่วยให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น
หน้าที่เข้าชม | 193,649 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 177,571 ครั้ง |
เปิดร้าน | 24 มี.ค. 2559 |
ร้านค้าอัพเดท | 15 ส.ค. 2568 |